โรงพิมพ์ พิมพ์รุ่ง อินเตอร์ พริ้นท์ จำกัด บริการด้านงานพิมพ์ ทุกรูปแบบ ทุกชนิด ด้วยราคาที่ย่อมเยาว์ โรงพิมพ์ของเรารับงานพิมพ์ตามแบบที่คุณต้องการ เช่น พิมพ์แคตตาล็อก งานพิมพ์ขึ้นรูป(ไดคัท) บิล แผ่นพับ ใบปลิว นามบัตร โบรชัวร์ พิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ พิมพ์สติ๊กเกอร์ ทำฉลากสินค้ารูปแบบต่างๆ ปั้มนูน ปั้มไดคัท เคลือบ PVC ด้าน หรือ เงา หรือไม่เคลือบ พร้อมปั๊มเค สะดุดตาไม่ซ้ำใคร พิมพ์เคทอง เคเงิน และฟอลย์สีต่าง ๆ เคลือบยูวี เคลือบยูวีเฉพาะจุด เคลือบลามิเนตด้าน หรือใส และ เคลือบโฮโลแกรมลายต่าง ๆ

ความรู้เกี่ยวกับกระดาษงานพิมพ์

ต้องยอมรับว่าระบบพิมพ์ในยุคปัจจุบันมีความก้าวล้ำไปมาก ส่งผลให้ลูกค้าสามารถเลือกประเภทกระดาษในงานพิมพ์ได้มากมายตามความต้องการ ซึ่งกระดาษแต่ละประเภทเองก็มีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้การเลือกกระดาษให้มีความเหมาะสมกับงานพิมพ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก เนื่องจากจะส่งผลต่อความสวยงามของสิ่งพิมพ์โดยตรง อีกทั้งยังเป็นการควบคุมต้นทุนของงานพิมพ์ให้มีความคุ้มทุนมากที่สุด

เราคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่าในงานพิมพ์มีประเภทกระดาษมากมาย เช่นกระดาษ A4, B2, หรือ C3 สำหรับกระดาษที่เรามักใช้งานในปัจจุบันจะเป็นกระดาษประเภท A แต่ก็มีบางงานที่จะเป็นแบบ B และ C กันไปอยู่บ้าง ทั้งนี้การจะเลือกขนาดกระดาษสำหรับงานพิมพ์ให้เหมาะสมนั้น ก่อนอื่นจะต้องดูเนื้อหาของ Artwork ตัวอักษร หรือตัวสารที่จะนำเสนอเป็นหลักว่ามีเนื้อหามากหรือน้อยเพียงใด จัดวางในกระดาษแล้วมีความสวยงาม ผู้อ่านสามารถมองเห็นได้สะดวกหรือไม่ รวมถึงงบประมาณที่มีอยู่ ซึ่งส่วนมากแล้วขนาดกระดาษยิ่งใหญ่ก็ยิ่งมีต้นทุนผลิตสูงขึ้นตามมานั่นเอง จากนั้นก็เลือกขนาดกระดาษให้มีความเหมาะสมกับงานพิมพ์ที่ต้องการ

ประเภทของกระดาษ


lana  Website Design

เลือกความหนาของกระดาษ

เมื่อเข้าใจถึงขนาดของกระดาษกันแล้ว มาดูวิธีเลือกความหนาของกระดาษกันบ้าง ความหนาของกระดาษนั้นมีหน่วยวัดที่เรียกเป็นแกรม ซึ่งแกรมนั้นจะอ้างนึงน้ำหนักของกระดาษขนาด 1 ตารางเมตร (กว้าง 100 ซ.ม. ยาว 100 ซ.ม.) ยกตัวอย่างกระดาษ 100 แกรม ก็จะมีน้ำหนัก 100 กรัมในขนาด 1 ตารางเมตร ด้วยเหตุนี้กระดาษที่มีตัวเลขแกรมมากก็จะมีความหนาและน้ำหนักที่มากกว่ากระดาษที่มีตัวเลขแกรมน้อยนั่นเอง เช่น กระดาษ 120 แกรม จะหนากว่า กระดาษ 100 แกรม เป็นต้น
ในทางกระบวนการพิมพ์แล้ว กระดาษที่มีจำนวนแกรมน้อย ( บาง ) จะทำให้แสงส่องผ่านได้มากกว่า เมื่อทำการพิมพ์ไปแล้วจึงมีโอกาสเป็นไปได้มากที่จะมองทะลุไปเห็นหน้าตรงข้ามทำให้ดูแล้วไม่สวยงามแล้วยังรบกวนการอ่านด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะต้อง balance เรื่องของความหนาให้เหมาะสมกับจำนวนหน้าและประเภทของหนังสือที่พิมพ์ให้ดีด้วย หนังสือที่หนามากไม่ควรจะใช้กระดาษที่หนาเกินไป เพราะจะทำให้หนักและหนาไม่น่าอ่าน อีกทั้งยังส่งผลโดยตรงต่อราคาต้นทุนด้วย ส่วนหนังสือที่มีจำนวนหน้าน้อย การใช้กระดาษที่หนาขึ้นมานิดนึง อาจจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นนิดนึง แต่ก็จะทำให้หนังสือไม่บางจนเกินไปดูแล้วสวยงาม แกรมที่เหมาะสมสำหรับพิมพ์เนื้อหาด้านในคือ 70 – 80 แกรม
ส่วนการพิมพ์หน้าปกนั้น ต่างจากการพิมพ์เนื้อหาด้านในอยู่ เพราะปกเป็นสิ่งที่ห่อหุ้มไส้ในไว้จึงจำเป็นจะต้องแข็งแรงและปกป้องอายุของหนังสือไว้ได้นานระดับหนึ่ง อีกทั้งเป็นสิ่งแรกสุดที่ผู้อ่านเห็นหน้าปกที่สวยงามดึงดูดตาจึงเป็นสิ่งจำเป็น กระดาษที่ใช้จึงจะต้องหนาและเหมาะสมแก่การพิมพ์ปก ทางโรงพิมพ์แนะนำให้ใช้ 120 แกรมขึ้นไปสำหรับการพิมพ์ปก
จำนวนแกรมที่นิยมใช้ในงานต่างๆ
ใบเสร็จ สิ่งพิมพ์ที่ต้องมีสำเนา หรือหน้าในของ dictionary 40 – 60 แกรม
กระดาษหัวจดหมาย หน้าเนื้อในของหนังสือ นิตยสาร เนื้อในของสมุด 70 – 80 แกรม
โบรชัวร์สี่สี หน้าสี่สีของนิตยสาร โปสเตอร์ 120 – 160 แกรม
ปกหนังสือ นิตยสาร สมุด แฟ้มนำเสนองาน กล่องสินค้า 210 – 300 แกรม

ชนิดของกระดาษ

ชนิดของกระดาษเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่แปรผันตรงกับต้นทุนการพิมพ์ กระดาษที่ดีมีคุณภาพสูงจะให้งานที่ออกมาดูดี สวยงามและคงทน แต่ก็จะทำให้ต้นทุนสูงตามไปด้วย เหมาะกับงานที่ต้องการความประณีตสูง เก็บไว้ใช้งานได้นาน กระดาษคุณภาพรองลงมาอาจจะใช้สำหรับงานที่ไม่ต้องการความสวยงามมากหรือไม่ต้องการเก็บไว้นาน เช่น ใบปลิว หนังสือพิมพ์ ฯลฯ

1.กระดาษอาร์ต

lana  Website Design

กระดาษชนิดนี้เนื้อจะแน่น ผิวเรียบ เหมาะสำหรับงานพิมพ์สี่สี เช่น โปสเตอร์ โบรชัวร์ ปกวารสาร ฯลฯ กระดาษชนิดนี้ราคาค่อนสูง คุณภาพกระดาษก็แตกต่างกันไป แล้วแต่มาตรฐานของผู้ผลิตด้วย มีให้เลือกหลายแบบ ได้แก่

- กระดาษอาร์ตมัน

กระดาษเนื้อเรียบ เป็นมันเงา พิมพ์งานได้ใกล้เคียงกับสีจริง สามารถเคลือบเงาได้ดี ความหนาของกระดาษมีดังนี้ 85 แกรม , 90 แกรม , 100 แกรม , 105 แกรม , 120 แกรม , 130 แกรม , 140 แกรม , 160 แกรม

- กระดาษอาร์ตมันด้าน

กระดาษเนื้อเรียบ แต่เนื้อไม่มัน พิมพ์งานสีจะซีดลงเล็กน้อย แต่ดูหรู ความหนาของกระดาษมีดังนี้ 85 แกรม , 90 แกรม , 100 แกรม , 105 แกรม , 120 แกรม , 130 แกรม , 140 แกรม , 160 แกรม

- กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า

เป็นกระดาษอาร์ตที่มีขนาดหนาตั้งแต่ 100 แกรมขึ้นไปเหมาะสำหรับพิมพ์งานโปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ หรืองานต่างๆ ที่ต้องการความหนา

- กระดาษอาร์ตการ์ด 1 หน้า

เป็นกระดาษอาร์ตที่มีความแกร่งกว่ากระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า หนาตั้งแต่ 190 แกรมขึ้นไป เหมาะสำหรับพิมพ์งานที่ต้องการพิมพ์แค่หน้าเดียว เช่น กล่องบรรจุสินค้าต่างๆ โปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ เป็นต้น

2.กระดาษปอนด์

lana  Website Design

กระดาษปอนด์จะนิยมใช้ในงานหนังสือโดยเฉพาะเนื้อใน เหมาะสำหรับงานที่ผู้ผลิตมีงบประมาณจำกัด (กระดาษอาร์ตมีราคาแพงกว่ามาก ) และต้องการผลิตหนังสือราคาไม่แพง เนื้อกระดาษมีคุณสมบัติรองรับน้ำหนักได้ในระดับปานกลางตามความหนา ในกระดาษที่ต่ำกว่าปอนด์ 80 หากใช้สีมากหมึกจะซึมทะลุด้านหลังได้ ดังนั้นถ้าหากมีภาพควรใช้กระดาษปอนด์ 80 ขึ้นไป เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย

3.กระดาษถนอมสายตา (Green Read)

lana  Website Design

เป็นกระดาษที่ผลิตขึ้นสำหรับงานหนังสือโดยเฉพาะ เนื้อกระดาษเป็นสีเหลืองนวลช่วยลดแสงสะท้อนสู่ดวงตา ทำให้อ่านหนังสือได้สบายสายตา กระดาษถนอมสายตามีน้ำหนักเบา และเมื่อทำเป็นเล่มขึ้นมาจะมีความหนา ดูคุ้มค่า คุณสมบัติเนื้อกระดาษรองรับสีได้ดีเมื่อพิมพ์ภาพลงไปแล้ว สีจะดูสดใสและนวล มีราคาแพงกว่ากระดาษปอนด์ไม่มากเกินไป เหมาะกับการใช้พิมพ์งานหนังสือที่มีเนื้อหามาก เช่น หนังสือประเภทวรรณกรรม

4.กระดาษปรู๊ฟ

lana  Website Design

กระดาษปรู๊ฟเป็นกระดาษที่มีราคาถูก เนื้อกระดาษบาง มีสีเหลืองอ่อนๆ เหมาะกับการใช้ในงานพิมพ์ที่มีอายุการใช้งานสั้น เน้นจำนวนการผลิตมาก ซึ่งหนังสือพิมพ์รายวันเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด เพราะคุณสมบัติของกระดาษตรงกับลักษณะการใช้งาน

5.กระดาษคาร์บอนเลส

lana  Website Design

เป็นกระดาษที่มีการเคลือบเคมี เมื่อเขียนด้านบนแล้วข้อความก็จะติดไปในกระดาษแผ่นล่างด้วย เพื่อทำเป็นสำเนา กระดาษชนิดนี้เหมาะกับการทำเป็นใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือเอกสารด้านการเงินขององค์กรที่ต้องการสำเนาหลักฐาน

6.กระดาษกล่อง และกระดาษลูกฟูก

lana  Website Design

กระดาษสองชนิดนี้เป็นกระดาษที่นำมาขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์ได้ เนื้อกระดาษมีความแข็งแรงตามชนิดของกระดาษ เนื้อกระดาษปกติมีอยู่สองสี ถ้าเป็นหน้าขาวจะพิมพ์ได้สวยงาม ทำให้สินค้าดูมีคุณค่า แต่ถ้าเป็นสีน้ำตาลก็มักจะใช้กับสินค้าบางประเภท

7.กระดาษแอร์เมล์


เป็นกระดาษที่มีเนื้อบางมาก ปัจจุบันไม่นิยมใช้กันแล้ว

8.กระดาษพีวีซี


กระดาษชนิดนี้มีความทนทาน เนื้อเหนียว ส่วนมากนำมาใช้ทำนามบัตร และปกรายงาน

ความเหมาะสมของกระดาษในการพิมพ์


กระดาษในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์นั้น มีที่มาจากหลายบริษัท ดังนั้นกระดาษชนิดเดียวกันอาจจะมีความแตกต่างกันได้ เช่น ในเรื่องของความชื้น การรับน้ำหมึก ความขาว ความหนา เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ มักมีสาเหตุจากการจัดเก็บและรบกวนการผลิต ทำให้ผู้เลือกใช้กระดาษควรทราบการเลือกใช้กระดาษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมดังนี้
1. น้ำหนักกระดาษต้องได้ค่ามาตรฐาน g. / sq.m. ถูกต้อง
2. ความต้านทานต่อแรงดึงผิวกระดาษ เนื่องจากกระดาษจะถูกดึง และกดพิมพ์หากกระดาษไม่มีความต้านทาน กระดาษจะยึด เมื่อพิมพ์สี่สีภาพจะคลาดเคลื่อนไม่คมชัดได้
3. ความต้านทานต่อน้ำและความชื้น กระดาษที่ดีต้องสามารถกรองรับน้ำหมึกได้อย่างเหมาะสม และไม่ซึมทะลุหลัง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกระดาษที่เลือกใช้ด้วย เช่น ถ้าเป็นกระดาษบาง หมึกอาจซึมได้แต่ไม่ควรให้มากเกินควร
4. ความชื้นของกระดาษ กระดาษที่เก็บสต๊อกไม่ดีจะมีความชื้นที่มากเกินไป ซึ่งจะมีผลต่องานพิมพ์ ทำให้คุณภาพลดลง
5. สีสันของเนื้อกระดาษ การเลือกใช้กระดาษควรจะดูที่เนื้อสีของผิวกระดาษด้วยว่าถูกต้องตามชนิดของกระดาษนั้นหรือไม่ เช่น ถ้าเป็นกระดาษ Green Read เนื้อจะต้องสีเหลืองนวล เป็นต้น
6. ความทึบของกระดาษ เนื้อกระดาษที่เลือกใช้จะต้องมีลักษณะที่โปร่งหรือทึบตามน้ำหนักแกรมที่เลือก หากหนามากแสงจะต้องไม่สามารถผ่านมาด้านหลังได้
7. ลักษณะผิวกระดาษ ผิวกระดาษจะต้องเป็นเนื้อเดียวกัน และมีความสม่ำเสมอกันทั้งแผ่น ไม่มีฝุ่นหรือเนื้อกระดาษ
8. การเรียงตัวของเยื่อกระดาษ / เส้นใยกระดาษเป็นแนวเดียวกัน